yapae
ยาแก้แพ้รุ่นเก่า(เม็ดสีเหลือง) ทานประจำทำร้ายสมองและหัวใจ โดยเฉพาะวัย 50+
หากคุณอยากรู้ว่าทำไมยาแก้แพ้ถึงทำลายระบบประสาทของสมอง และทำให้หัวใจเต้นผิดปกติได้
คุณต้องรู้ก่อนคับว่า กระบวนการทำงานของยาแก้แพ้ที่คุณทานมาตลอดนี้มันทำงานยังไงบ้าง?
กระบวนการทำงานของยาแก้แพ้ ที่ทำร้ายสมองและหัวใจของคุณ
ก่อนอื่นสิ่งที่คุณต้องรู้คือ โรคภูมิแพ้ที่คุณเป็น มันเกิดจากอะไร แล้วทำงานยังไงบ้าง
โรคภูมิแพ้เกิดจากสารที่ชื่อว่า ฮีทตามีน เข้ามากระตุ้นในร่างกายของคุณให้เกิดการอักเสบ เมื่อการอักเสบกระจายทั่วตัว ทำให้เกิดอาการผื่น แพ้ คัน บวม แดง
หรือเมื่อสารฮีทตามีนเข้าไปในจมูกของคุณ จึงทำให้จมูกเกิดการอักเสบทำให้เกิดอาการ คัดจมูก น้ำมูกไหล คันตา คันหู แสบตาออกมา
ส่วนยาแก้แพ้ที่คุณทานจะเรียกว่ายา แอนตี้ฮีทตามีน (Antihistamines) คือเมื่อคุณทานเข้าไป ยาจะทำหน้าที่ จับสารภูมิแพ้(ฮีทตามีน) ในร่างกายเพื่อไม่ให้เกิดอาการแพ้ขึ้นได้
พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อร่างกายของคุณแพ้อะไรก็ตามจะมีสารฮีทตามีนหลั่งออกมา ซึ่งเมื่อคุณทานยาแก้แพ้เข้าไป ยาตัวนี้จะเข้าไปแย่งไม่ให้สารฮีทตามีนจับกับร่างกาย จึงทำให้ไม่เกิดการอักเสบเกิดขึ้น
แต่ประเด็นสำคัญคือสารที่ชื่อว่าฮีทตามีน เป็นสารสำคัญที่อยู่ในสมองด้วย โดยเฉพาะสมองส่วนหน้า ที่ช่วยในเรื่องทำให้สมองตื่นตัว ไม่ง่วง คิดออก วางแผนได้ อารมดี
เมื่อคุณทานยาแก้แพ้เข้าไป สารของยาแก้แพ้ก็จะซึมเข้าไปในสมอง มันจะเข้าไปจับสารฮีทตามีนแยกออกจากสมองด้วย จึงทำให้ สมองเบลอ คิดช้า ตามไม่ทัน ง่วง กดสมอง ทำลายสมอง
และยังมีข้อมูลสำหรับผู้สูงอายุที่ทานยาแก้แพ้รุ่นเก่า(เม็ดสีเหลือง) ทำให้เป็นโรคหัวใจ หัวใจเต้นผิดปกติ จนหยุดเต้น ถึงขั้นเสียชีวิตได้
ยาแก้แพ้ปัจจุบันจะแบ่งออกเป็น 2 รุ่น
1. ยาแก้แพ้รุ่นเก่า ทำให้ง่วงซึม ทานต่อเนื่องอันตราย กดสมองทำร้ายหัวใจ
2. ยาแก้แพ้รุ่นใหม่ ฤทธิ์ยาจะไหลเข้าสมองน้อยกว่ารุ่นแรก ทานต่อเนื่องปลอดภัยกว่า ตามข้อมูล ณ ปัจจุบัน ทานต่อเนื่องไม่มีผลข้างเคียง
ทำไมทานยาแก้แพ้ช่วงแรกอาการดีขึ้น แต่ทานต่อเนื่อง 2-3 ขึ้นไป ถึงเริ่มไม่เห็นผล
จริงๆ อาการแบบนี้เค้าไม่ได้เรียกว่าดื้อยานะครับ แต่เป็นการที่คุณทานสิ่งนั้นต่อเนื่องเป็นระยะเวลานึงแล้วร่างกายมันจำ เลยทำให้ ร่างกายของคุณดูดซึมรับฤทธิ์ยาได้อย่างเต็มที่ (หรือจะเรียกว่าดื้อยาก็ได้นะครับ)
แต่ถ้าคุณเรียกว่าดื้อยา มันหมายความว่าร่างกายของคุณจะไม่มีทางลืมสิ่งที่คุณทานได้เลย
เพราะฉะนั้นมันมีวิธีแก้อยู่ครับ คือ คุณต้องเปลี่ยนกลุ่มยาไปเรื่อยๆ เพื่อให้ร่างกายของคุณไม่จดจำฤทธิ์ยาบางตัวเป็นระยะเวลานาน
หากคุณรักษาภูมิแพ้โดยการทานยาแก้แพ้เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุเลย จะส่งผลให้ภูมิแพ้ของคุณสะสมหนักมากขึ้น จนรักษาได้ยากกว่าเดิม
คุณลองสังเกตุตัวคุณเมื่อก่อนดูก็ได้ครับ ว่าเมื่อคุณมีอาการภูมิแพ้กำเริบ ทานยาแปปเดียวเดี๋ยวก็ดีขึ้น
แต่พอคุณรักษาแต่ทานยาแก้แพ้เพื่อระงับอาการ ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุจริงๆ ทำให้ภูมิแพ้กลับมาเป็นซ้ำแล้ว ซ้ำอีก
ยิ่งเป็นซ้ำมากขึ้นเท่าไร มันจะรักษายากขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นเท่านั้น ไม่รู้ว่าคุณเคยสังเกตุกันดูมั้ย?
แล้วอาการภูมิแพ้ที่สะสมมาเป็นระยะเวลานึง ก็จะทวีความรุนแรงขึ้นด้วยนะครับ ทำให้รักษายากกว่าเดิม เพราะร่างกายคุณเริ่มดื้อมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
เพราะฉะนั้น คุณต้องดูแล รักษาอาการภูมิแพ้ของคุณอย่างถูกวิธีนะครับ ก่อนที่อาการมันจะหนักไปมากกว่านี้
หากคุณต้องการรักษาภูมิแพ้ของคุณไม่ให้กลับมาเป็นอีก โดยรักษาที่ต้นเหตุจริงๆ ใช้วิธีจากธรรมชาติ ไม่ทำลายสมอง ไม่ส่งผลต่อตับ ไต และหัวใจ
ผมขอแนะนำ Balance Ucore เลยครับ แก้ภูมิแพ้ตั้งแต่ต้นเหตุ ไม่กลับมาเป็นอีก ไร้ผลข้างเคียงแน่นอน
หากคุณสนใจ คลิกที่ปุ่มสีแดงด้านล่าง เพื่อดูรายละเอียด Ucore เพิ่มเติมได้ครับ 🙂